ตำนานแดรกคูลา (Dracula) มีที่มาจากบราม สโตกเกอร์ (Bram Stoker) นักเขียนชาวไอริช ได้เขียนนิยายผีดิบที่ไม่เคยตีพิมพ์ออกมาเลยตั้งแต่เขียนขึ้นครั้งแรกในปี1897 สโตกเกอร์ดื่มด่ำกับประวัติศาสตร์ เรื่องเล่า และตำนานของทรานซิลวาเนีย ซึ่งเขาเรียกว่า “วังวนแห่งจินตนาการ” (whirlpool for the imagination) แม้ว่าบรามจะไม่เคยได้เดินทางไปสถานที่จริงเลยก็ตาม

เรื่องราวของ “บราม สโตกเกอร์” กลายเป็นตำนานได้อย่างไร?

ข้อมูลเกี่ยวกับ Vampirism หรือผู้ที่ชื่นชอบชอบการดื่มเลือด ได้ถูกพูดถึงกันอย่างแพร่หลายในยุโรปตะวันออกเมื่อปลายศตวรรษที่17 และดำเนินต่อไปตลอดศตวรรษที่18 โดยพบว่ามีรายงานของผู้ป่วยที่มาจากอาการนี้เพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะในคาบสมุทรบอลข่าน จากนั้นอาการนี้ก็ได้ระบาดไปยังยุโรปตะวันตกอย่างเยอรมนี อิตาลี ฝรั่งเศส อังกฤษ และสเปน นักเดินทางที่กลับมาจากยุโรปตะวันออกมักจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับผีดูดเลือด ทำให้นักปรัชญาและศิลปินชาวยุโรปตะวันตกเริ่มให้ความสนใจในเรื่องของแวมไพร์กันมากขึ้น ทำให้นิยายของ บราม สโตกเกอร์ ได้รับความนิยม เนื่องจากเป็นนิยายเรื่องยาวที่สร้างจากตำนานในยุโรปตะวันออก ในช่วงแรกผู้อ่านส่วนใหญ่มั่นใจว่านิยายเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องจริง แต่ที่จริงแล้วบราม สโตกเกอร์ได้แรงบันดาลใจมาจากอาการป่วยของตัวเองในวัยเด็ก และเรื่องราวความโหดร้ายของ วลาด เซเปช นั่นเอง

ต้นแบบของแดรกคูลามาจากไหน?

โดยตำนานของเคานต์ แดรกคูลา (Count Dracula) ได้รับแรงบันดาลใจมาจากวลาดที่3 หรือ วลาด แดรกคูเลีย (Vlad Draculea) ที่มีอีกชื่อหนึ่งว่า วลาด เซเปช (Vlad Țepeș) ซึ่งหมายถึง วลาดนักเสียบ เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ของโรมาเนียในช่วงกลางทศวรรษที่1400 วลาดนักเสียบเป็นผู้ปกครองแห่งแคว้นวัลลาเคีย (Walachia or Wallachia) ซึ่งเป็นแคว้นทางตอนใต้ของโรมาเนีย วลาดเกิดในปี1431 ที่ซิกิชชัวร่า (Sighișoara) แคว้นทรานซิลเวเนีย

 ▼Vlad III

พ่อของวลาด (วลาดที่2) เป็นสมาชิกของกลุ่มที่เรียกว่า “ภาคีแห่งมังกร” (Order of the Dragon) เป็นการรวมตัวของขุนนาง-อัศวิน โดยเป็นสังคมกึ่งทหารและศาสนา กลุ่มภาคีนี้ได้เกิดขึ้นครั้งแรกในปี1387 โดยจักรพรรดิแห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์และจักรพรรดินี Barbara of Cilli ซึ่งเป็นภรรยาคนที่สองของเขา มีเป้าหมายหลักคือการปกป้องผลประโยชน์ของศาสนาคริสต์และเพื่อรณรงค์ต่อต้านพวกเติร์ก ชาวโบยาร์แห่งโรมาเนียได้เชื่อมโยงความเชื่อเรื่องมังกรกับปีศาจเข้าด้วยกัน ทำให้พ่อของวลาดถูกเรียกว่า “Dracul” ในภาษาโรมาเนียมีความหมายว่า “ปีศาจ” (* Drac is “devil” and -ul is “the”) ส่วนชื่อ “Dracula” จึงหมายความว่า “บุตรของปีศาจ”

“Dracul” ในภาษาโรมาเนียมีความหมายว่า “ปีศาจ”

“Dracula” มีความหมายว่า “บุตรของปีศาจ”

ในช่วงฤดูหนาวปีค.ศ.1436-1437 พ่อของวลาดได้กลายเป็นเจ้าชายแห่งวัลลาเคีย (หนึ่งในสามแคว้นของโรมาเนีย) และเข้าพำนักที่พระราชวังตือร์โกวิชเต (Târgovişte) ซึ่งเป็นเมืองหลวง ณ ขณะนั้น วลาดได้ติดตามพ่อของเขาและอาศัยอยู่ที่ Princely Court เป็นเวลา 6 ปี เพื่อคุมตัวประกันชาวเติร์กไว้ที่อ่าวแห่งนี้ ต่อมาในปี1442 พ่อของวลาดจึงได้ส่งลูกชายทั้งสอง วลาด (Vlad) และน้องชาย ราดู (Radu) ไปยังกรุงคอนสแตนติโนเปิล (ปัจจุบันคืออิสตันบูล) เพื่อเป็นตัวประกันของสุลต่านมูรัดที่ 2 (Murad II) วลาดถูกกักขังไว้ที่นั่นจนถึงปี1448 แน่นอนว่าการถูกจองจำในตุรกีนี้มีบทบาทสำคัญในการเติบโตของวลาด ช่วงเวลานี้เองที่เขารับเอามุมมองชีวิตในแง่ร้ายและเรียนรู้วิธีการแทงแบบเดิมพันของตุรกี ชาวเติร์กปล่อยวลาดให้เป็นอิสระหลังจากแจ้งให้เขาทราบเรื่องการลอบสังหารบิดาของเขาในปี1447 เขายังได้ประสบพบกับการตายของพี่ชาย (Mircea) และวิธีที่พี่ชายถูกโบยาร์แห่งตือร์โกวิชเต (Târgovişte) ทรมานและฝังทั้งเป็น

เมื่อวลาดอายุ17 เขาก็ได้รับการสนับสนุนจากกองทหารม้าตุรกีและกองทหารที่มหาอำมาตย์ มุสตาฟา ฮัสซัน (Pasha Mustafa Hassan) ยืมตัวเขามา วลาดได้ทำการเคลื่อนไหวใหญ่ครั้งแรกเพื่อยึดบัลลังก์วัลลาเคียนกลับคืนมา วลาดกลายเป็นผู้ปกครองของวัลลาเคียในเดือนกรกฎาคมปี1456 ในระหว่างการครองราชย์ 6 ปี เขาได้กระทำการโหดร้ายมากมาย ด้วยเหตุนี้จึงสร้างชื่อเสีย (ง) เป็นอย่างมาก

การแก้แค้นครั้งใหญ่ครั้งแรกของเขามุ่งเป้าไปที่โบยาร์แห่งตือร์โกวิชเต (Târgovişte) เพราะคนเหล่านั้นไม่ภักดีต่อพ่อของเขา ในวันอาทิตย์อีสเตอร์ปี1459 เขาจับกุมครอบครัวโบยาร์ทุกคนที่เข้าร่วมงานเลี้ยงของเจ้าเมือง โดยวลาดสั่งให้ตรึงขุนนางที่อาวุโสกว่าไว้เป็นเดิมพันในขณะที่บังคับให้คนอื่น ๆ ที่ไม่จงรักภักดีเดินทัพจากเมืองหลวงไปยังเมืองโพเอนาร์ (Poenari) การเดินทางระยะทางห้าสิบไมล์นี้ค่อนข้างทรหดและไม่มีใครได้รับอนุญาตให้พักจนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง จากนั้นวลาดก็สั่งให้พวกโบยาร์สร้างป้อมปราการบนซากปรักหักพังที่เป็นด่านเก่ามองเห็นแม่น้ำอาเจช (Argeş) ทำให้นักโทษหลายคนเสียชีวิตในขณะที่ถูกใช้แรงงาน วลาดประสบความสำเร็จในแง่การสร้างขุนนางใหม่และมีป้อมปราการสำหรับเหตุฉุกเฉินในอนาคต ซึ่งสิ่งที่ยังคงหลงเหลือจนถึงปัจจุบัน คือ ป้อมโพเอนาร์ (Cetatea Poenari) 

วลาดได้เสียบประจานอาชญากรและศัตรูด้วยการยกศพขึ้นสูงที่จัตุรัสกลางเมืองเพื่อให้ทุกคนได้เห็น โดยมีอาชญากรรมเกือบทุกประเภท ตั้งแต่การโกหก การขโมย ไปจนถึงการฆ่าคน ก็สามารถถูกลงโทษด้วยการประหารชีวิตได้ ด้วยความมั่นใจในประสิทธิภาพของกฎหมายวลาดจึงวางถ้วยทองคำไว้ที่จัตุรัสกลางเมืองตือร์โกวิชเต (Târgovişte) นักเดินทางที่กระหายน้ำสามารถใช้ถ้วยนี้ได้แต่ต้องวางไว้ที่จัตุรัส ตามแหล่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่มีอยู่ ถ้วยนี้ไม่เคยถูกขโมยและยังคงอยู่ตรงนั้นตลอดรัชสมัยของวลาด เมื่ออาชญากรรมและการคอรัปชั่นยุติลง การค้าและวัฒนธรรมเจริญรุ่งเรือง จนถึงทุกวันนี้ชาวโรมาเนียจำนวนมากมองว่า วลาดนักเสียบเป็นวีรบุรุษที่เด็ดขาด ซื่อสัตย์ และสร้างความสงบเรียบร้อยสู่บ้านเมือง โดยมีการอ้างอิงแหล่งข้อมูลที่เป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับรัชสมัยของวลาดจากแผ่นพับโฆษณาชวนเชื่อจำนวนมาก ซึ่งในสมัยนั้นมาจากสิ่งประดิษฐ์ใหม่ของชาวเยอรมันนั่นคือแท่นพิมพ์นั่นเอง

ในต้นปีค.ศ.1462 วลาดเริ่มรณรงค์ต่อต้านพวกเติร์กตามแม่น้ำดานูบ โดยในขณะนั้นกองกำลังทหารของสุลต่านเมห์เหม็ดที่2 มีกำลังมากกว่ากองทัพวัลลาเคียนมาก แต่ในช่วงฤดูหนาวปี1462 วลาดประสบความสำเร็จอย่างมากและได้รับชัยชนะหลายครั้ง สุลต่านเมห์เหม็ดที่2 ตัดสินใจบุกวัลลาเคียอย่างเต็มรูปแบบเพื่อลงโทษวลาด ซึ่งเป้าหมายอื่นของสุลต่านที่นอกเหนือจากการปราบวลาดคือ เปลี่ยนดินแดนแห่งนี้ให้เป็นส่วนหนึ่งของตุรกี เมื่อสุลต่านบุกเข้าสู่วัลลาเคียด้วยกองทัพที่ใหญ่กว่าของวลาดถึงสามเท่า วลาดพบว่าตัวเองไม่มีพันธมิตรและถูกบังคับให้ล่าถอยไปยังตือร์โกวิชเต (Târgovişte) วลาดจึงเผาหมู่บ้านของเขาเองและวางยาพิษในบ่อน้ำตามทาง เมื่อกองทัพตุรกีมาถึงไม่พบอะไรก็ดื่มกินสังสรรค์ ในขณะที่สุลต่านกำลังมาถึงเมืองหลวงด้วยความเหน็ดเหนื่อย พระองค์ก็เผชิญกับภาพที่น่าสยดสยองนั่นคือ ซากศพของเชลยชาวเติร์กที่ถูกเสียบประจานกว่า 20,000 ศพ จากเหตุการณ์การโจมตียามค่ำคืน (Atacul de noapte de la Târgoviște) ได้สร้างความหวาดกลัวให้กับศัตรูชาวเติร์กที่มารุกรานดินแดนวัลลาเคีย จึงส่งผลอย่างมากต่อจิตใจทหารของสุลต่านเมห์เหม็ด ทั้งความหวาดกลัว เหนื่อยล้า และหิวโหย สุลต่านเมห์เหม็ดจึงตัดสินใจถอยทัพ

▼The forest of the impaled▼

สถานที่ที่มีอยู่จริงตามตำนานแดรกคูลา

ตามตำนานกล่าวว่าศพของวลาดถูกฝังอยู่ที่อารามสนาโกฟ (Siliștea Snagovului) บริเวณซากปรักหักพังของป้อมปราการ ปราสาทโพเอนาร์ (Cetatea Poenari) ในโรมาเนีย เป็นปราสาทที่เปรียบเสมือนบ้านของวลาดนักเสียบที่แท้จริง 

หมู่บ้านอาเรฟู (Arefu) ที่ยังคงเล่าขานตำนานแดรกคูลา ตั้งอยู่ในเมืองบราชอฟ (Brașov) ที่วลาดนำทัพบุกโจมตีพ่อค้าชาวแซกซอน ซึ่งแน่นอนว่าปราสาทบราน (Bran Castle) คือปราสาทแดรกคูลาตามตำนานที่ บราม สโตกเกอร์ ยกขึ้นมาเล่าในนิยายของตัวเอง

อย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ตือร์โกวิชเต (Târgovişte) เมืองหลวงของวัลลาเคีย (Wallachia) ตั้งแต่ปี1396 – 1714 สถานที่แห่งนี้มีหอคอย Chindia Tower (Turnul Chindiei) หอสังเกตการณ์ขนาดมหึมา ซึ่งเป็นสถานที่ที่เจ้าชายวลาดได้แทงขุนนางที่ไม่ซื่อสัตย์หลายคนหลังจากเชิญพวกเขาไปงานฉลอง รวมถึงเป็นสถานที่ที่วลาดเสียบประจานชาวเติร์กที่หน้าทางเข้าปราสาทกว่า 20,000 ศพ ทำให้วลาดมีชื่อเสียงไปทั่วที่สามารถป้องกันประเทศจากการรุกรานของพวกออตโตมัน (เติร์ก) ไว้ได้

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *