เมื่อไม่นานมานี้เราเพิ่งได้ฟังพอร์ตแคส R U OK ? ถึงคนที่ชอบมองโลกในแง่ลบตลอดเวลา ก็เลยมานึกถึงตัวเอง ที่ก็เคยมีช่วงที่ชอบมองโลกในแง่ลบ ทำให้ทุกอย่างรอบ ๆ ตัวแย่ตามไปหมด แถมยังชอบดึงดูดสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาในชีวิตอีกด้วย

เมื่อคิดได้แบบนี้ได้ก็เลยพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง ให้คิดบวกมากขึ้น คิดบวกในที่นี้ไม่ได้หมายถึงโลกสวย แต่คิดบวกเพื่อให้เราทุกข์น้อยลง ไม่ทำให้ใครรอบ ๆ ตัวต้องทุกข์ตาม นอกจากเปลี่ยนตัวเองแล้ว หากเจอคนรอบ ๆ ตัวที่ชอบคิดลบตลอดเวลา ก็ควรที่จะหาวิธีรับมือ เพื่อไม่ให้เรามีอารมณ์ร่วม และดิ่งตามคนอื่นลงไปมากกว่าเดิม

และนี่คือ 9 วิธีการอยู่ร่วมกับคนที่ชอบมองโลกในแง่ลบตลอดเวลา

1. อย่าไปทะเลาะด้วย

เราไม่จำเป็นที่จะต้องมีส่วนร่วมทุกครั้งเมื่อมีคนทำให้เราหงุดหงิด การที่เราสนใจจะยิ่งกลายเป็นนำความคิดลบ ๆ มาใส่ตัวเอง ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดคือคือให้เพิกเฉยต่อการแสดงความเห็นที่ไม่สร้างสรรค์ ควบคุมอารมณ์ของตัวเอง สิ่งนี้แหละที่จะช่วยลดความรู้สึกที่ไม่ดี และคนอื่น ๆ ก็อาจจะเคารพคุณที่เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง

2. อย่าตัดสินคนอื่น

เราทุกคนมีประสบการณ์ชีวิตที่แตกต่างกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะไม่รู้วิธีการควบคุมอารมณ์ หรือจัดการความเครียดของตนเองได้อย่างเหมาะสม เราสามารถมีส่วนร่วมในมุมมองเชิงลบของคนอื่นได้ แต่มาตรฐานการใช้ชีวิตของตัวเราเองก็ต้องเหมือนเดิม บางทีความคิดของเราก็ไม่ได้เหมาะกับคนอื่น ดังนั้นการตัดสินคนอื่นไม่เพียงแต่เป็นความคิดที่เห็นแก่ตัว แต่มันเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ไม่ได้ผล หากคุณคิดจะจัดการกับคนที่มองโลกในแง่ลบด้วยการใช้ข้อเท็จจริงเพียงอย่างเดียว

3. พยายามคิดบวก

อย่าให้ทัศนคติลบ ๆ หรือความคิดเห็นที่หยาบคายส่งผลต่อทัศนคติของคุณ หากคุณจำเป็นรายล้อมไปด้วยคนประเภทนี้ ให้ลองมองโลกในแง่บวก และมั่นใจที่จะยิ้มกว้าง ๆ อย่าเอาเรื่องของคนอื่นมาทำให้เราต้องคิดลบตาม ผลที่ตามมาอาจทำให้พวกเขาปรับอารมณ์ที่ใช้กับคุณให้ดีขึ้น หรือถ้ามันไม่ได้ผลพวกเขาก็อาจพบความสุขในแบบของเขา (ตามสไตล์คนที่ชอบเสพดราม่า) และพวกเขาก็จะไปจากชีวิตของคุณเอง

4. กำหนดขอบเขต

เราไม่จำเป็นต้องนั่งฟังคนที่คิดลบพร่ำบ่นตลอดเวลา กำหนดข้อจำกัดและเว้นระยะห่างระหว่างตัวคุณและคนประเภทนี้ ถ้ามีคนประเภทนี้อยู่รอบ ๆ ตัวคุณตลอดเวลาก็ให้ใช้ระยะเวลาระหว่างคุณกับเขาเพียงแค่ช่วงสั้น ๆ แต่ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ การทำเช่นนี้อาจเป็นเรื่องยาก แต่ก็ลองดูว่าคุณสามารถใช้เวลาไปกับเรื่องเหล่านี้น้อยลงได้บ้างไหม เพราะมันอาจช่วยให้คุณสบายใจมากขึ้น

5. เปลี่ยนหัวข้อสนทนา

การที่เราเปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันทีอาจดูหยาบคายไปสักหน่อย แต่ในบางกรณีก็เป็นข้อยกเว้น เราไม่จำเป็นต้องเปิดหัวข้อสนทนาด้วยการเห็นอกเห็นใจ แต่สามารถพูดบางอย่างเช่น “ฉันเข้าใจ” แล้วเปลี่ยนเป็นคุยกันในหัวข้ออื่นได้

6. อย่านำปัญหาของเขามาเป็นปัญหาของตัวเอง

ในขณะที่การเห็นอกเห็นใจกันถือเป็นคำอวยพร แต่มันก็เป็นคำสาปแช่งได้เช่นกัน แม้ว่าคุณจะรับฟังและเข้าใจความลำบากของคนอื่น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องแบกรับภาระเหล่านี้ไปกับเขา คนที่คิดลบจะมองหาใครก็ตามที่สามารถแสดงความเห็นอกเห็นใจ และดำดิ่งไปกับเรื่องราวแย่ ๆ และแม้ว่าคุณจะคอยช่วยหาทางออกเพื่อทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจมากแค่ไหน แต่พวกเขาก็จะไม่ยอมปรับ mindset ของตัวเอง ดังนั้นอย่าทำให้ตัวเองรู้สึกแย่ไปกับเรื่องราวของคนเหล่านี้!!

และอย่าทำให้ตัวเองกลายเหยื่อของความผิด หากคุณไม่ได้เป็นสาเหตุของปัญหา ไม่ได้ไปอยู่ภายใต้ข้อผูกมัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ปฏิเสธที่จะพูดคุยในเรื่องวิธีการแก้ปัญหา อย่ารู้สึกแย่ที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย กับคนที่คุณก็รู้ว่าความพยายามของคุณอาจจะไร้ประโยชน์

7. มีวุฒิภาวะ

อย่าดูถูกพฤติกรรมเด็ก ๆ ที่คนเหล่านี้แสดงออกมา แม้ว่าธรรมชาติของคนเราต้องการที่จะปกป้องตัวเองจากความคิดเห็นที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ แต่การทำแบบนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่สร้างสรรค์ เพราะโอกาสของคนมองโลกในแง่ลบนั้นต้องการถกเถียง หรือมองหาคนที่ทำให้ขุ่นเคืองใจการรักษาวุฒิภาวะของตนเองจะทำให้พวกเขาไม่สามารถดึงคุณให้ดิ่งตามลงไปได้ ดังนั้นให้ระวังการให้เหตุผล ถ้าคุณพบว่าตัวเองเริ่มอารมณ์เสียก็ให้แก้ที่ตัวเอง ลองเดินออกมา ถ้าต้องมีการโต้ตอบก็ให้นิ่งและพยายามอย่างสุดความสามารถในการรับมือกับคนที่มีอารมณ์รุนแรง

8. มีเมตตา

บ่อยครั้งสิ่งที่คนมองโลกในแง่ลบแสดงออกมา ก็เพราะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เครียด อย่างเช่น เรื่องครอบครัว เรื่องเงิน เรื่องงาน ฯลฯ ความเห็นใจก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องมองโลกในแง่ลบและแสดงความคิดเห็นที่เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจตามไปด้วย ก็แค่มองตามความเป็นจริงและรับทราบพอ

9. ถ้ามันทำให้ทุกอย่างแย่ลง ก็คงต้องตัดความสัมพันธ์

อย่าลืมว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงคนอื่นได้ ถ้าคุณต้องการเปลี่ยนแปลงคนอื่น และใช้พลังงานทั้งหมดไปกับการจัดการความสัมพันธ์ แต่มันก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น ก็อาจจะถึงเวลาแล้วที่ต้องเดินออกมา แม้ว่าคุณอาจคาดหวังที่จะมีความสัมพันธ์กับคนเหล่านี้ให้คล้ายกับคนในครอบครัว แต่ถ้ามันทำให้ชีวิตเราแย่ลง คุณก็ควรตัดความสัมพันธ์นี้ซะ แล้วไปลงทุนกับคนที่เห็นคุณค่าของมันมากกว่า

ที่มา Lifehack, Power of Positivity, Entrepreneur

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *