ยามัมบะ (山姥หรือที่รู้จักกันในชื่อยามะอุบะ (山うば), โอนิบาบา (鬼婆), ยามา-ฮิเมะ (山姫) และ คิโจ (鬼女) เป็นโยไคตามตำนานพื้นบ้านของญี่ปุ่น

***โยไค ในนิทานพื้นบ้านญี่ปุ่นหมายถึง ภูติผีปีศาจหรือสิ่งที่เหนือธรรมชาติ***

ยามัมบะเป็นโยไคภูเขาที่น่าสะพรึงกลัวคอยกัดกินเนื้อมนุษย์ หากดูภายนอกยามัมบะอาจดูเหมือนหญิงชราทั่วไปไม่มีพิษมีภัย หรือบางเรื่องเล่ายามัมบะมีผมยาวรุงรังสีขาวทองและมีริมฝีปากกว้างยาวไปจนถึงหู เธออาศัยอยู่ในกระท่อมบนภูเขาตามลำพัง ในนิทานพื้นบ้านคลาสสิก ยามัมบะมักล่าเหยื่อด้วยการเลือกจับนักเดินทางและพ่อค้า เช่น คนขับเกวียน คนขับรถม้า และคนงาน ซึ่งมักจะเดินทางระหว่างหมู่บ้านและเดินผ่านภูเขา ยามัมบะจะหลอกล่อให้นักเดินทางมานอนค้างคืนโดยแปลงกายเป็นหญิงชราและบางครั้งอาจแปลงกายเป็นสาวสวย หลังจากที่แขกหลับไป ยามัมบะจะกลับคืนร่างที่แท้จริงและกินแขกผู้มาเยือน เรื่องราวของยามัมบะได้ถูกเผยแพร่ผ่านผู้โชคดีที่สามารถหลบหนีออกมาได้ นอกจากนี้เรื่องราวของยามัมบาได้กลายเป็นนิทานก่อนนอนเพื่อเตือนไม่ให้เด็ก ๆ เดินเข้าไปใกล้ภูเขา

แม้ว่าในนิทานพื้นบ้านหลาย ๆ เรื่องยามัมบะจะถูกเล่าในฐานะปีศาจน่ากลัวที่มักทำร้ายนักเดินทางและจับพวกเขากินเป็นอาหาร แต่ก็มีเรื่องเล่าบางเรื่องที่ยามัมบะเป็นโยไคผู้มีเมตตาและมอบความโชคดีให้คนที่ใจดีกับเธอ

นิทานพื้นบ้านที่บอกเล่าเรื่องราวของยามัมบะ

ยามัมบะมีต้นกำเนิดมาจากยุคกลาง เธอมักถูกมองว่าเป็นหญิงชราที่ไม่เข้าสังคมและถูกบังคับให้อาศัยอยู่บนภูเขา เธอชอบกินเนื้อมนุษย์ ในนิทานพื้นบ้านเรื่องหนึ่งเล่าว่า ยามัมบะให้ที่พักพิงกับหญิงสาวที่กำลังจะคลอดบุตร โดยทำทีเป็นหญิงชราใจดีคอยช่วยเหลือ แต่ลับหลังเธอแอบวางแผนจะกินลูกของหญิงผู้นั้น นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งเรื่องเล่าของยามัมบะว่าเธอชอบแอบไปกินเด็กในหมู่บ้านขณะที่ผู้ปกครองของเด็ก ๆ ไม่อยู่ นอกจากนี้ยามัมบะจะกินใครก็ตามที่ผ่านไปมาบนภูเขา

อีกหนึ่งเรื่องเล่าในนิทานพื้นบ้านญี่ปุ่นนูกาฟูกุ โกเมฟูกุ (糠福米福) ได้เล่าถึงเรื่องราวของนูกาฟูกุอาศัยอยู่กับแม่เลี้ยงใจร้ายและโกเมฟูกุน้องสาวต่างแม่ ทำให้นูกาฟูกุมีชีวิตที่ยากลำบาก วันหนึ่งนูกาฟูกุได้เข้าไปในป่าและได้พบกับยามัมบะโดยบังเอิญ หญิงชราจึงได้มอบชุดกิโมโนและรองเท้าโซริให้ เมื่อนูกาฟูกุแต่งตัวสวยออกไปงานเทศกาล ลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้านก็ตกหลุมรักเธอ เมื่องานแสดงจบลงนูกาฟูกุก็รีบกับบ้านโดยไม่ทันสังเกตว่ารองเท้าหลุดหล่นหาย หลังจากวันนั้นลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้านก็ได้ออกตามหาเจ้าของรองเท้าหากผู้หญิงคนไหนสวมก็จะได้แต่งงานกับเขา นูกาฟูกุสวมใส่รองเท้าได้พอดี อีกทั้งเธอยังหยิบรองเท้าอีกข้างที่แอบซ๋อนไว้ออกมาสวมให้เข้าคู่กัน นูกาฟูกุได้แต่งงานและได้รับทรัพย์สมบัติมากมาย ส่วนแม่เลี้ยงและโกเมฟูกุเนื่องจากเป็นคนที่หยาบคายยามัมบะจึงได้มอบโชคร้ายให้กับทั้งสอง สุดท้ายแล้วสองแม่ลูกไปอยู่ในนาข้าวและกลายเป็นหอยทาก

นอกจากนี้ยังมีนิทานอุบากาวะ (姥皮) เป็นเรื่องเล่าของยามัมบะที่จะให้โชคลาภแก่มนุษย์ เป็นตำนานที่ว่าบ้านที่ถูกยามัมบะคุ้มครองจะได้รับความมั่งคั่งและโชคลาภอย่างรวดเร็ว บางครอบครัวก็ยกย่องให้ยามัมบะเป็นเทพเจ้าผู้พิทักษ์เลยทีเดียว

และอีกหนึ่งเรื่องเล่าที่คนเล่าขานกันเกี่ยวกับยามัมบะ คือเรื่องราวของนักบวชคนหนึ่งถูกพายุพัดเข้ามาในหุบเขา แต่ทว่าโชคดีที่ได้ผ่านกระท่อมร้างอันโดดเดี่ยวแห่งหนึ่ง หญิงชราใจดีเชิญเขาเข้าไปข้างใน ต้อนรับเขาด้วยอาหาร และให้ผิงไฟเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น ในระหว่างนั้นเธอเตือนนักบวชด้วยคำพูดที่ว่า “ไม่ว่ายังไงก็อย่ามองเข้าไปในห้องด้านหลัง” แต่นักบวชรูปนี้ไม่สามารถเอาชนะความอยากรู้อยากเห็นของตนเองได้ ทันทีที่หญิงชราก้าวออกไปเก็บฟืนเพิ่ม นักบวชจึงมองลอดผ่านรอยแตกที่ประตู ทันใดนั้นเขาค้นพบห้องที่เต็มไปด้วยศพที่ถูกกินไปครึ่งหนึ่ง นักบวชจึงรู้ได้ว่าหญิงชราผู้นั้นคือยามัมบะตามข่าวลือ ที่มักหลอกล่อเหยื่อให้เข้ามาในบ้านของเธอเพื่อฉีกเป็นชิ้น ๆ เอาไว้เป็นอาหารมื้อต่อไปของเธอ นักบวชจึงรีบหนีออกจากกระท่อมอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และไม่หันหลังกลับไปมองกระท่อมนั้นอีกเลย

แฟชั่นยามัมบะ

แฟชั่นยามัมบะซึ่งก็มีที่มาจากโยไคภูเขาที่เล่าไปข้างต้นเช่นกัน แฟชั่นยามัมบะเป็นสับเซตหนึ่งของแฟชั่นเกียรุหรือสาวเกล (ギャル) โดยที่แฟชั่นยามัมบะ มีรูปแบบที่พัฒนามาจากแฟชั่นกังกุโระ (ガングロ) ซึ่งกระแสกังกุโระปรากฏขึ้นในช่วงปี 1990 เนื่องจากผู้หญิงญี่ปุ่นบางคนปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามขนบญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม ย่านชิบูย่าและอิเคะบุคุโระของโตเกียวถือเป็นศูนย์กลางของแฟชั่นกังกุโระ

ซึ่งแฟชั่นสไตล์กังกุโระมักประกอบด้วยโสร่งมัดย้อม กระโปรงสั้น รองเท้าส้นตึก สวมเสื้อผ้าสีสดใสพยายามหลีกเลี่ยงสีดำ ใส่เครื่องประดับเยอะ ๆ เช่น กำไล สร้อยคอ และแหวน การแต่งหน้าเน้นทาผิวแทนเข้มและอายแชโดว์สีน้ำตาล ทำผมสีทอง แฟชั่นกังกุโระจะเน้นสีเอิร์ธโทนมากกว่าเพื่อให้ดูเท่และมั่นใจ

ในขณะที่แฟชั่นยามัมบะ (やまんば) จะเน้นไปที่ วัฒนธรรมคาวาอิ หรือ Kawaii Culture ตามแบบฉบับญี่ปุ่น และมีสไตล์ที่หลุดโลกยิ่งกว่า ซึ่งต่อมาชื่อยามัมบะถูกย่อให้เหลือเพียงมัมบะเท่านั้น แม้ว่าทั้งยามัมบะและมัมบะจะดูสุดโต่งเหมือนกัน แต่สไตล์ของมัมบะมีการเปลี่ยนแปลงจากยามัมบะเล็กน้อย เช่น การติดสติกเกอร์บนใบหน้า หรือการมีอุปกรณ์เสริมอย่างพวงมาลัยฮาวายและลายพิมพ์ฮาวายของยามัมบะกลายเป็นสิ่งล้าสมัย สไตล์ยามัมบะมักจะทาคอนซีลเลอร์สีขาว (เป็นอายแชโดว์) เหนือดวงตาเท่านั้น ในขณะที่แฟชั่นสไตล์มัมบะจะทาอายแชโดว์ทั้งด้านบนและด้านล่างดวงตา

ซึ่งแฟชั่นมัมบะก็มีสิ่งที่คล้ายเดิมอยู่ เช่น การเน้นไปที่ทรงผม การแต่งหน้า และเครื่องประดับมากกว่าเสื้อผ้า เน้นทาผิวแทนให้โดดเด่นขึ้น ทาปากด้วยลิปสติกสีขาว ทาสันจมูกและรอบดวงตาด้วยสีขาวหรือสีพาสเทล และมีการเติมสีเมทาลิคหรือมีกลิตเตอร์เล็ก ๆ ที่ถุงใต้ตา กัดสีผมให้เป็นสีขาว, สีบลอนด์ หรือย้อมผมด้วยสีที่ไม่เป็นธรรมชาติ ทำเล็บยาวแต่งเล็บหนัก ๆ สวมใส่เสื้อผ้าสีสันสดใส เน้นสีเรืองแสง

แม้ว่าในปัจจุบันจะแทบไม่เห็นแฟชั่นสไตล์ยามัมบะในญี่ปุ่นแล้ว แต่แฟชั่นยามัมบะก็ถือว่าเคยเป็นหนึ่งในแฟชั่นที่มีชื่อเสียงและเป็นที่จดจำมากในช่วงยุคสมัยหนึ่งเลยทีเดียว

Links to related Sites: 

- Japanese Tales That Will Chill You To The Bone, savvytokyo
- Yamamba, bakemono
- Yamauba, wattpad
- 糠福米福,ja.wikipedia
- Manba Gyaru, gyaru-109.fandom
- Yamanba, gyaru.fandom
- Ganguro, Yamanba and Manba, japanesefashiontrends

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *