ไม่ว่าคุณจะเป็นคุณแม่ที่ต้องการสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก ๆ หรือเป็นคนที่ทำงานอย่างหนักและกำลังรอการเลื่อนตำแหน่ง หรืออาจเป็นคนที่กำลังรับมือกับปัญหาส่วนตัวต่าง ๆ เช่น การตกงาน, การหย่าร้าง, หรือการสูญเสียคนที่รัก ในช่วงเวลาที่พวกเรากำลังรู้สึกสิ้นหวัง เราย่อมต้องพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะผ่านเหตุการณ์เหล่านั้นไปให้ได้

อย่างไรก็ตาม ความหวัง จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราหลุดออกมาจากความคิดของเราเองและเลิกหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองมากเกินไป เราต้องเชื่อมั่นจริง ๆ ว่าจะมีสิ่งที่ดีกว่ารอเราอยู่ แม้ว่าสิ่งต่าง ๆ อาจดูเหมือนยังไม่เกิดขึ้นในตอนนี้ แต่เราก็ต้องเชื่อว่ามีแผนการที่ใหญ่กว่านี้ที่เรายังมองไม่เห็นรออยู่

ซึ่ง 10 ขั้นตอนต่อไปนี้จะสร้างแรงบันดาลใจให้คุณและทำให้คุณมีความหวังที่จะก้าวต่อไปเมื่อคุณรู้สึกสิ้นหวังเกี่ยวกับอนาคตของคุณ

1.ย้อนกลับไปที่การจัดระเบียบและเคารพความรู้สึกของตัวเอง

หากคุณถูกครอบงำไปด้วยอารมณ์และความรู้สึก และความรู้สึกที่ไม่มั่นคงกำลังรบกวนจิตใจของคุณอยู่ นั่นเป็นสัญญาณว่าคุณควรต้องกลับไปดูแลตัวเองในบางเรื่องอย่างจริงจังแล้วล่ะ

การไปเดินเล่น, พูดคุยกับเพื่อน, ใช้ช่วงเวลาในวันหยุดสั้น ๆ, ฟังเพลง, ทำสมาธิ, หรือจดบันทึกประจำวัน ลองทำทุกอย่างที่ช่วยให้คุณกลับสู่จุดกึ่งกลางและมีความสมดุล

นอกจากนี้การรับรู้และให้รางวัลกับตัวเองเมื่อคุณรู้สึกว่าตัวเองทำสำเร็จในแต่ละก้าวที่คุณไปถึง แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ในทุกย่างก้าวมีความสำคัญและจะทำให้คุณได้เข้าใกล้ความฝันได้มากขึ้น

ลองโฟกัสที่ตอนนี้ด้วยการหายใจอย่างมีสติ และชื่นชมกับสิ่งที่อยู่ในช่วงเวลาปัจจุบันของคุณ

2.ทบทวนวิสัยทัศน์และเป้าหมายของคุณ

หากคุณมาถึงทางตันแล้ว การทบทวนเป้าหมายและวิสัยทัศน์ของคุณอาจเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ จดบันทึกเป้าหมายที่แน่นอนที่คุณวางเอาไว้และเตือนตัวเองว่าอะไรที่เป็นแรงบันดาลใจให้คุณตั้งเป้าหมายนั้นมาตั้งแต่แรก

ยกตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการลดน้ำหนัก 10 กิโล นั่นเป็นเพราะแพทย์ของคุณแนะนำ หรือเพราะคุณอยากมีสุขภาพที่ดีขึ้น????

กุญแจสำคัญคือการตั้งเป้าหมายที่ทำให้คุณกระตือรือร้นและสมัครใจหรือเต็มใจที่จะทำ เป้าหมายของคุณจำเป็นต้องเชื่อมโยงกับวิสัยทัศน์ที่ครอบคลุม ซึ่งจะกระตุ้นให้คุณเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ไปได้

ให้คุณลองออกแบบ Vision boards ของตัวเองหรือเขียนเรื่องราวที่สื่อความหมายชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งที่คุณอยากทำให้สำเร็จ เพื่อช่วยในการทบทวนเป้าหมายของคุณ

3.จัดการกับความคาดหวังของคุณ

อีกสาเหตุหนึ่งที่เป็นไปได้ที่ทำให้คุณสูญเสียแรงจูงใจและรู้สึกสิ้นหวังก็คือ ความคาดหวังของคุณที่สูงเกินไป บ่อยครั้งที่ความผิดหวังครั้งใหญ่ที่สุดของเราเกิดจากความคาดหวังที่ดูเป็นไปไม่ได้ ซึ่ง“ความเป็นไปไม่ได้” ที่ว่านี้ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่สามารถทำเป้าหมายของคุณให้สำเร็จได้เสมอไป แต่คุณอาจต้องใช้เวลาหรือทรัพยากรที่มากขึ้นเพื่อบรรลุเป้าหมายเหล่านั้น

ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่คุณเปิดร้านใหม่ แทนที่จะคาดหวังถึงการทำเงินให้ได้หนึ่งแสน คุณควรให้ความสนใจเรื่องการทำเงินให้ได้เท่าทุนและมีระบบการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมก่อน ลองตั้งเป้าหมายที่เป็นเชิงบวกและเฉพาะเจาะจงที่คุณรู้สึกว่าสามารถจัดการได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเริ่มต้น การตั้งความคาดหวังที่ดีและง่ายต่อการทำให้สำเร็จนั้นจะเป็นกำลังใจให้คุณก้าวต่อไปได้

4.มีแผนสำรอง

มีความเป็นไปได้อยู่เสมอที่แผนของคุณจะไม่เป็นไปตามที่คุณหวังเอาไว้ อาจเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับกับความล้มเหลวเช่นเดียวกับความเป็นไปได้ที่จะไม่รู้สึกเศร้าใจเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าสิ่งนั้นมีความสำคัญกับคุณ อย่างไรก็ตามการที่เรามีแผนสำรองหรือมีอีกทางเลือกเอาไว้จะช่วยป้องกันความล้มเหลวในภาพรวมได้

แผน B ก็เป็นเหมือนตาข่ายนิรภัยที่จะรองรับคุณเอาไว้ในกรณีที่คุณทำพลาด ในการออกแบบแผนสำรองหรือแผนฉุกเฉินนั้น คุณจำเป็นต้องประเมินเกี่ยวกับสิ่งที่ผิดพลาดในแผนก่อนหน้านี้ของคุณ

คุณสามารถทำอะไรที่แตกต่างออกไปจากเดิมได้บ้าง? บทเรียนจากประสบการณ์ที่ผ่านมาอะไรบ้างที่ช่วยให้คุณมีความรู้ความเข้าใจเพื่อนำไปใช้ในครั้งต่อไปได้? ลองถามข้อเสนอแนะอย่างตรงไปตรงมาจากเพื่อน ๆ, ที่ปรึกษา, และโค้ชของคุณเพื่อช่วยเสริมความเข้าใจหรือดุลยพินิจของคุณเอง

ขอให้แผน B ที่แข็งแกร่งช่วยเหลือคุณ ทำให้คุณได้รู้ว่าความล้มเหลวไม่ใช่จุดสิ้นสุดของเส้นทางนั้น ๆ แต่เป็นเพียงทางอ้อมที่พาคุณไปสู่จุดหมายอื่นได้เช่นกัน

5.ค้นหาแหล่งที่มาของการเสริมแรงบันดาลใจในแง่บวก

ความหวังเปรียบเสมือนเปลวเทียนที่สามารถมอดดับลงได้หากไม่มีการสนับสนุนที่มั่งคง เราจึงต้องมีสิ่งที่ช่วยเตือนความจำเพื่อกระตุ้นพวกเราด้วยความหวังที่เกี่ยวกับอนาคต ซึ่งโชคดีที่มีหลายวิธีในการสร้างแรงบันดาลใจ อย่างเช่นการยอมรับความสำเร็จเล็ก ๆ ของเราเองที่เกิดขึ้นระหว่างทาง และจดจำช่วงเวลาที่เราสามารถเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ได้

นอกจากนี้คุณยังสามารถค้นหาแรงบันดาลใจผ่านทางหนังสือ, เพลง, ภาพยนตร์, และเรื่องราวของคนอื่น ยกตัวอย่างเช่น บางคนอาจชอบที่จะอยู่กับเด็ก ๆ เพราะความคิดของเด็กนั้นบริสุทธิ์และมักจะมองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ ลองหาที่มาของแรงจูงใจสำหรับตัวคุณที่เหมาะกับคุณ และพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพาตัวเองไปอยู่ในโลกแห่งหลุมดำของโซเชียลมีเดียต่าง ๆ

6.มีคนคอยสนับสนุนที่แข็งแกร่ง

เมื่อมีการอยู่ร่วมกันในสังคม พวกเราจึงได้รับประโยชน์อย่างมากจากการสนับสนุนที่มาจากกลุ่มคนที่มีความสำคัญสำหรับเราในเวลาที่เรารู้สึกสิ้นหวัง สำหรับคนส่วนใหญ่แล้วเพื่อนและสมาชิกในครอบครัวต่างก็เป็นกลุ่มคนที่อยู่ในอันดับแรก ๆ  แต่เราก็สามารถขยายเครือข่ายทางสังคมของเราออกไปได้อีก ซึ่งอาจรวมไปถึงกลุ่มคนที่เราไว้ใจอย่างเช่น ที่ปรึกษา, โค้ช, หรือกลุ่มคนที่คอยสนับสนุนและรับฟังเรื่องราวของเรา, และคนที่เชื่อในความคิดหรือวิสัยทัศน์ที่เรามี

เมื่อใดก็ตามที่เราผิดพลาดหรือล้มลง คนเหล่านี้คือคนที่สามารถเป็นแหล่งความสบายใจและช่วยให้เรากลับมาอยู่ในเส้นทางที่หวังได้อีกครั้ง

7.สร้างวิสัยทัศน์ให้ชัดเจน

เป็นเรื่องง่ายที่จะรู้สึกมีความหวังขึ้นมาในเวลาที่เราเลือกมองภาพกว้าง ๆ สำหรับอนาคตของเรา ด้วยเหตุผลนี้สร้างวิสัยทัศน์และแผนการในอนาคตของคุณให้ชัดเจนจึงเป็นเรื่องสำคัญ

การตั้งเป้าหมาย, ทำ vision boards, และการสร้างมโนภาพ เป็นเทคนิค 2 – 3 อย่างที่สามารถทำให้ความฝันของเราเป็นรูปเป็นร่างขึ้นได้ ซึ่งการปฏิบัติตามแนวทางด้วยเทคนิคเหล่านี้จะทำให้วิสัยทัศน์ของเราเป็นรูปธรรมและอยู่ใกล้แค่เอื้อมมากขึ้น

การใกล้ชิดกับเป้าหมายจะยิ่งทำให้สิ่งที่วางแผนไว้เป็นเรื่องจริงและทำให้เรามีจุดโฟกัสที่จะนำพลังงานทั้งหมดของเราไปใช้ได้

8.เป็นคนรอบรู้และมีสติทันต่อความคิด

หากปราศจากความรู้และลงมือทำ ความหวังก็เป็นเพียงแค่ความสับสนทางจิตใจ ความหวังควรเป็นแรงผลักดันให้เรามองหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งที่เราปรารถนา และทำตามขั้นตอนนั้น ๆ เพื่อทำให้สิ่งที่หวังไว้เป็นจริง

อย่างที่กล่าวไปความรู้ก็เป็นเหมือนพลัง และทำให้เราสามารถทำการตัดสินใจเลือกตัวเลือกต่าง ๆ ได้อย่างมีสติมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้คุณมั่นใจ และสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมีสติ 

9.ให้ความสนใจอยู่กับปัจจุบัน

ความหวังทำให้เรากำหนดเป้าหมายในอนาคตและสามารถควบคุมความคิดของเราให้ออกห่างจากปัจจุบันได้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณจะต้องไม่ใช้เวลาในการวางแผนอนาคตมากเกินไป เพราะนั่นอาจนำไปสู่ความรู้สึกสิ้นหวังได้

แม้ว่าเราต้องการให้สิ่งต่าง ๆ ดีขึ้น แต่เราก็ต้องทำให้จุดที่เราอยู่ในปัจจุบันนั้นสงบสุขด้วย การยอมรับอย่างสงบนิ่งจะทำให้เรามีความสงบสุขในใจ (inner peace) และป้องกันไม่ให้เรายึดติดกับผลลัพธ์ในอนาคตมากเกินไป

10.ฝึกขอบคุณให้เป็นนิสัย

การขอบคุณหรือความกตัญญูนั้นทำให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นใจ ตามที่กฎของแรงดึงดูดได้กล่าวไว้ว่า ยิ่งคุณรู้สึกซาบซึ้งในสิ่งต่าง ๆ ที่คุณมีมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะดึงดูดสิ่งดี ๆ เข้ามาหาคุณมากขึ้นและทำให้สุขภาพจิตของคุณดีขึ้นด้วย

ครั้งต่อไปเมื่อคุณรู้สึกผิดหวังเกี่ยวกับอนาคต ให้หายใจเข้าลึก ๆ และคิดถึงผู้คนและสิ่งมหัศจรรย์ต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวคุณ คุณจะรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในการมองชีวิตของคุณเองเวลาที่คุณเห็นว่ามีสิ่งต่าง ๆ มากมายในชีวิตที่ทำให้คุณรู้สึกขอบคุณ

คุณสามารถเริ่มใช้เวลาไปกับการเขียนบันทึกสิ่งที่ดีที่เรารู้สึกขอบคุณ หรือคิดถึงบางสิ่งที่คุณรู้สึกขอบคุณในแต่ละวัน

สุดท้ายนี้ เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรู้สึกสิ้นหวังในขณะที่กำลังรอคอยให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นในชีวิต โปรดจำไว้ว่า ท้ายที่สุดแล้วชีวิตก็คือการเดินทางไม่ใช่ปลายทาง กอดความฝันของคุณเอาไว้ แล้วทำตามฝันนั้นต่อไป แต่อย่าลืมมองไปรอบ ๆ ตัวคุณ ชื่นชมกับรางวัลและของขวัญของการมีชีวิตอยู่บนโลกที่สวยงามใบนี้ด้วยนะ 😀

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *